เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรยายในหัวข้อ "ผู้พิพากษาในความคาดหวังของประชาชน " ในหลักสูตรผู้ช่วยผู้พิพากษา รุ่นที่ 74 โดยมี นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา และน.ส.ศิริภา อินทวิเชียร ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภา เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในครั้งนี้
โดยนายชวน กล่าวว่า ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก 1.อำนาจนิติบัญญัติ 2. อำนาจบริหาร 3. อำนาจตุลาการ โดยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งกำหนดให้อำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารเกี่ยวข้องกัน โดยฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตนั้นเป็นผู้กำหนดฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจกำหนดนโยบายในการบริหารประเทศ
นายชวน กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้แทนมาจากการเลือกตั้งใช่ว่าจะสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสมอไป ระบบการเลือกตั้งในช่วงหลังที่เกิดขึ้นมีการทุจริตการเลือกตั้งในรูปแบบต่าง ๆ และการมีธุรกิจการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องมาก จนกระทั่งเงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดการเลือกตั้ง ทำให้เห็นว่า การเลือกตั้งอันเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นชัดถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการปกครองประเทศ ก็ไม่ได้มีความตรงไปตรงมาประกอบกับเมื่อมีการเลือกตั้งเสร็จสิ้นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้ง ภาคประชาชน ตลอดทั้งสื่อมวลชนก็มิได้มีการติดตามเรื่องการทุจริตการเลือกตั้ง เสมือนกับเป็นการยอมรับเรื่องการทุจริตการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นเพราะฉะนั้นจึงเห็นนักการเมืองที่มีการแข่งขันโดยใช้เงินและไม่สามารถที่จะลงโทษบุคคลเหล่านี้ด้วยวิธีใดได้ ทั้งกลับกลายเป็นคำนิยมว่า คนที่มาทำงานการเมืองก็ต้องแสวงหาผลประโยชน์อันเป็นต้นเหตุแห่งการทุจริตคอร์รัปชันในตำแหน่งหน้าที่ และการทุจริตคอร์รัปชันก็จะมีขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งในปัจจุบันได้ลุกลามไปทุกวงการ เสมือนกับว่าสังคมไทยได้ยอมรับว่าการทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมไทยไปแล้ว
นายชวน กล่าวว่า การปกครอง โดยหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมีลักษณะ ดังนี้ 1. เป็นการปกครองโดยกฎหมายที่ออกโดยประชาชน คือ ประชาชนเป็นผู้เลือกตัวแทนของประชาชนมาทำหน้าที่ออกกฎหมาย ทั้งยังหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่รัฐไม่อาจล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เว้นแต่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ 2. มีการแบ่งแยกอำนาจเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยแต่ละอำนาจมีการใช้อำนาจภายในขอบเขตของตนภายใต้หลักนิติธรรม 3. ต้องมีหลักนิติธรรมภายใต้การปกครองในระบบนิติรัฐหากได้อ่านรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และ 2560 ก็จะพบว่าความในมาตรา 3 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ฉบับก่อน ๆ ก็คือ ได้มีการเพิ่มความในวรรคสองของมาตรา 3 ว่า "รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรมเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม "
นายชวน กล่าวว่า จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่า ถ้าหากไม่มีการเพิ่มความในมาตรา 3 วรรคสอง การใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อำนาจ ไม่จำต้องยึดหลักนิติธรรมหรืออย่างไร ก็คงจะตอบได้ว่า ถึงแม้ความตามมาตรา 3 วรรคสองจะไม่ได้บัญญัติไว้เช่นนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้อง ยึดหลักนิติธรรมอยู่เสมอ แต่การที่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทั้งสองฉบับได้บัญญัติเพิ่มความในวรรคสอง ของมาตรา 3 ขึ้นมา ก็เพื่อเป็นการเน้นย้ำว่าการบริหารราชการ
ทั้งหลายนั้นต้องยึดหลักนิติธรรม ไม่ใช่วิธีการอื่นที่เป็นการนอกเหนือไปจากกฎหมายของบ้านเมือง หลักนิติธรรมจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นหัวใจของหลักธรรมาภิบาลหรืออาจเรียกได้ว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance).
September 04, 2020 at 04:42PM
https://ift.tt/31ZcHCq
'ชวน'ชี้ออกกฎหมายต้องยึดโยงประชาชน - เดลีนีวส์
https://ift.tt/2WNXmBW
Home To Blog
No comments:
Post a Comment