
แต่ประเด็นหลักที่ทุกๆฝ่ายจะต้องทำใจก็คือ ไม่ว่าอย่างไรเสียตลาดในประเทศของเราก็ยังจะเป็นตลาดที่เล็กมาก หากเทียบกับตลาดโลกที่เราเคยพึ่งพาอาศัยในอดีต
ประชากรไทยล่าสุดของเรามีประมาณ 66 ล้านคนเศษ และถ้าคิดเสียว่าคนรวยที่เก็บเกี่ยว GDP ไปได้มากที่สุดอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีกลุ่มกำลังซื้อสูงอยู่ที่ 6.6 ล้านคนเศษเท่านั้น
ผู้คนจำนวนนี้อาจช่วยได้พอสมควรในการกระตุ้นเบื้องต้นหากออกกิน ออกใช้และออกเที่ยวภายในประเทศในเดือนนี้ เดือนหน้า เมื่อโควิดซาลงแล้วดังที่กล่าวไว้ในฉบับวานนี้
แต่จะให้เกิดการหมุนเวียน หรือทำให้ GDP เพิ่มขึ้นมากมายเหมือนที่เราเคยได้รับในยุคการท่องเที่ยวเฟื่องฟูย่อมเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวทั้งใน กทม. หรือต่างจังหวัด จะต้องยอมรับความจริง และจะต้องบริหารจัดการกับรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น อย่างช้าๆนี้ด้วยความอดทน อดกลั้นและประหยัดรัดเข็มขัดสุดฤทธิ์
จะต้องนึกถึง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแนะนำสั่งสอนไว้ และ สภาพัฒน์ ได้ อัญเชิญมาเป็นนโยบายเศรษฐกิจหลักในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินับตั้งแต่แผนฯฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549) เป็นต้นมา
ผมขออนุญาตคัดลอก “คำจำกัดความ” ในส่วนสำคัญมาเพื่อเตือนใจทุกๆฝ่ายสัก 2-3 ประเด็นนะครับ
เริ่มจากนิยามของ เศรษฐกิจพอเพียง ที่ทรงกล่าวไว้ว่า “เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไป ในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์”
“ความพอเพียง” หมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผลรวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการ กระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการในทุกขั้นตอน
ขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐาน จิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญาและความรอบคอบ”
ครับ! ใจความข้างต้นนี้คือหัวใจหลักของเศรษฐกิจพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราพระราชทานไว้ ซึ่งสามารถจะนำมาประยุกต์ใช้ได้กับทุกองค์กร ทุกสถาบัน และทุกๆตัวบุคคล ดังได้กล่าวไว้แล้ว
ความพอประมาณและมีเหตุผล สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบ “พึ่งตัวเอง” ก็คือ มันจะไม่อู้ฟู่เหมือนช่วงที่เราพึ่งคนอื่น และคนอื่นๆ ทั่วโลกต่างมาเที่ยวมาลงทุนและซื้อของจากบ้านเรา จนดุลการค้าเกินดุล และดุลชำระเงินก็เกินดุลมหาศาล ทำให้เศรษฐกิจไทยวิ่งฉิวในอดีต
แต่ทุกอย่างจะค่อยเป็นค่อยไปและจะค่อยๆ ฟื้น ดังนั้นจึงต้องอดทน อดกลั้น อยู่อย่างประหยัดในทุกภาคส่วน
ที่สำคัญ พ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ทั้ง 3 ฉบับผ่านสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว และก็น่าจะผ่านวุฒิสภาอย่างเรียบร้อยเช่นกัน
เมื่อถึงเวลาใช้เงินกู้มหาศาลก้อนนี้ จะต้องคำนึงถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเคร่งครัดที่สุด โดยไม่ขาดตกบกพร่องหรือ ย่อหย่อน...โดยเฉพาะในประเด็นซื่อสัตย์ สุจริต และสำนึกในคุณธรรม...ฝากไว้ด้วยนะครับ บิ๊กตู่ครับ.
“ซูม”
June 03, 2020 at 05:03AM
https://ift.tt/3ctR0MX
เหะหะพาที : คำสอน “เศรษฐกิจพอเพียง” ต้องกลับมาอยู่ในหัวใจคนไทย - ไทยรัฐ
https://ift.tt/2WNXmBW
Home To Blog
No comments:
Post a Comment